Speed shutter และ ISO

หลังจากที่บทก่อนได้พูดถึงเรื่อง เลนส์ ช่วงเลนส์ fstop และยังมีอีก 2 ตัวครับที่ยังคงสัมพันธ์ เพื่อให้ำด้ภาพออกมา

หนึ่งในสองตัวนั้น คือ speed shutter
ซึ่งเจ้า speed shutter ที่ว่านี้ จะบอกค่าเป็นชุดตัวเลขอีกเช่นกันที่จอของกล้อง หรือที่ช่องมองภาพ (จริงๆ บอกครบหมดล่ะครับ) มีหน่วยเป็นวินาที เช่น 4" 2" 1" 1/2 1/4...1/1000... แล้วแต่ความสามารถของตัวกล้อง ความหมายของตัวเลขชุดนี้ จะบอกถึงระยะเวลาที่ม่านชัตเตอร์ในตัวกล้องเปิดค้าง เพื่อให้แสงเข้า ผ่านรูรับแสง ผ่านไปตกกระทบที่ตัวรับภาพ หรือฟิล์มเช่น ค่า speed shutter ที่ 4" หมายถึงเมื่อเรากดปุ่มชัตเตอร์ลง ม่านชัตเตอร์จะเปิดขึ้นให้แสงผ่าน และค้างไว้ 4 วินาที ม่านชัตเตอร์จึงจะปิดตัวลง เป็นการสิ้นสุดการบันทึกภาพ เป็นต้น

ISO
นี่ล่ะอย่างที่สองเจ้า ISO ที่ว่าคือ ค่าความไวแสงฟิล์มหรือตัวรับภาพ บอกออกมาเป็นตัวเลขเช่นกัน เช่น 50 100 200 400 800 เป็นต้น ซึ่งเดิมทีในระบบฟิล์ม การเปลี่ยน ISO นั้นหมายถึงการเปลี่ยนฟิล์มม้วนใหม่ แต่ในยุคที่เป็นกล้องดิจิตอล สามารถเปลี่ยนค่า ISO นั้นได้อย่างง่ายดาย แค่กดปุ่มเปลี่ยนค่า และการใช้ค่า ISO ที่สูงขึ้น จะช่วยย่นระยะเวลาระหว่างการเปิด และปิดม่านชัตเตอร์ลงไป แต่สิ่งที่จะตามมาคือ ภาพที่ได้จะ มี Noise หรือเป็นเม็ดสี กระจายอยู่เต็มภาพ ซึ่งจะเป็นที่หวาดกลัวของช่างภาพ (แต่ภาพที่มี Noise ก็ใช่จะเสียทุกภาพนะ)

สรุปความสำพันธ์ของการ 3 องค์ประกอบหลักได้แก่ Speed shuter / ISO / fstop เป็นตัวที่ต้องไปด้วย และเกื้อหนุนกัน เพื่อให้ได้ภาพที่ตรงตามความต้องการของผู้บันทึกภาพ ยกตัวอย่างเช่น เดินไปเจอดอกไม้ 1 ดอก มีแดดอ่อนๆตอนเช้าตกกระทบตรงดอกพอดิบพอดี ใจเราอยากเก็บภาพดอกไม้ 1 ภาพนั้นให้เด่นขึ้น มาดูกันว่าต้องระวังเรื่องไหนบ้าง

- ให้ดอกไม้เด่น ก็ต้องเกี่ยวกับระยะชัดครัง งั้นก็ต้องคิดเรื่อง f หรือ fstop ก่อน ถ้าดอกจะเด่นก็ต้อง f น้อยๆ เพื่อระยะชัดตื้นสูง- ดอกไม้ ถ้าให้ภาพเป็นเม็ด หรือมี Noise จะพอรับได้มั้ย ถ้าอยากได้แบบเนียนๆหน่อยล่ะ งั้นมาดูเรื่อง ISO เลือกใช้ค่าน้อยๆไว้ ซัก 100 ละกันครับ- สุดท้ายเรื่อง Speed shutter ถ้าอยากให้ภาพที่ได้เท่ากับแสงตอนที่เราเห็นนั้นเลยล่ะ ต้องเปิดม่านชัตเตอร์นานเท่าไหร่ ถ้านานมากๆ เราจะถือไว้ได้มั้ย หรือถ้าปิดเร็วมากภาพจะออกมามีความสว่างพอดีกับที่ต้องการหรือเปล่า

เหล่านี้ล่ะครับคือสิ่งที่เราต้องคิดเองหมด ก่อนถ่ายภาพ ยังไม่รวมเรื่องการจัดวางองค์ประกอบนะครับ
ถึงตรงนี้แล้วบางท่านอาจคิดว่ามันยุ่งยากขนาดนี้เลยหรอ แล้วที่เค้าถ่ายๆ กันไม่เห็นต้องใช้เวลาซักนิด ก็เห็นยกกล้องขึ้นแล้วกดเลยทั้งนั้น อันที่จริงมีหลายคนหรือเกือบทุกคนที่ทำแบบนั้นครับ ส่วนคนส่วนที่เหลือเค้าทำอย่างที่ผมมาทั้งหมดจริงๆ แต่เค้าทำบ่อย ถ่ายภาพบ่อยจนจำสภาพแสงและลักษณะภาพที่ต้องการได้หมดแล้วครับ แค่มองก็บอกได้แล้วว่า ต้องใช้ f Speed หรือ ISO เท่าไหร่แล้วส่วนคนที่ใช้กล้อง compact Dslr-Like หรือแม้แต่ Slr ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่ว่านั้น เค้าสามารถถ่ายภาพได้ง่ายใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ผู้ผลิตกล้องติดมาให้ แค่เลือกมาที่โหมดที่ต้องการก็ยกกล้องขึ้นกดเลย ก็ได้ภาพสวยๆแล้วครับ เช่น เจอน้ำตกก็ปรับไปที่โหมดที่เป็นรูปน้ำตก ก็ถ่ายได้แล้ว ซึ่งโปรแกรม หรือโหมดเหล่านี้ได้ดึงเอา 3 ตัวที่ผมกล่าวมาแล้วนั่นล่ะครับมาคำนวณ ว่าอย่างไหนต้องเท่าไหร่ ให้ได้ภาพออกมาตามที่เราต้องการ

ส่วนเรื่องโหมดต่างๆ และตัวที่เป็นตัววัดค่าของแสง นั้นว่ามีอะไร และทำงานยังไง จะมาต่อให้ครับ